วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2558

10 อันดับเครื่องดื่มประจำชาติในประเทศอาเซียน

10 อันดับเครื่องดื่มประจำชาติอาเซียน

หมวด อื่นๆ

เครื่องดื่มหลากหลายรสชาติที่มีวางจำหน่ายให้เราๆ ได้ลองลิ้มชิมรสความอร่อยกลมกล่อมนั้น หลายคนคงยังไม่ทราบว่าเครื่องดื่มที่เรารู้จักกันหรืออาจจะเคยดื่มกันเป็นประจำเหล่านั้นเป็นเครื่องดื่มประจำชาติของประเทศใดในกลุ่มอาเซียนบ้าง วันนี้ทางเราจึงนำเสนอเครื่องดื่มของประจำชาติอาเซียนมาให้ทุกคนได้รู้จักกันมากยิ่งขึ้น

10. แตออ เครื่องดื่มประจำชาติ ประเทศบรูไน

แตออ เป็นชาชนิดหนึ่งของประเทศบรูไน เป็นชาที่มีความหอมมาก ผู้คนมักจะชอบดื่มชาชนิดนี้ในตอนเช้า เพื่อเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย

9. โอเลี้ยง เครื่องดื่มประจำชาติ ประเทศกัมพูชา

โอเลี้ยง หรือ กาแฟดำเย็น ทำจากกาแฟผสมกับน้ำเชื่อมแล้วจึงใส่น้ำแข็งลงไป มีรสชาติขมปนหวาน เพิ่มความสดชื่นเป็นอย่างมาก

8. น้ำส้มคั้น เครื่องดื่มประจำชาติ ประเทศอินโดนีเซีย

น้ำส้มคั้น คือน้ำผลไม้ที่คั้นมาจากผลส้มตามชื่อ เป็นน้ำผลไม้ที่มีคนนิยมดื่มมาก เพราะเตรียมง่าย และให้คุณค่าทางอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีวิตามินซีสูง

7. น้ำย่านาง เครื่องดื่มประจำชาติ ประเทศลาว

น้ำย่านาง สมุนไพรแสนคุ้นเคยและคุ้นลิ้น ตอนนี้ได้กลายมาเป็นสมุนไพรสุดฮิต ที่มีคุณสมบัติปรับสมดุลในร่างกาย เนื่องจากเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็น และเป็นคลอโรฟิลล์สดจากธรรมชาติ ใบย่านางและน้ำคั้นจากใบยังมีแคลเซียมและวิตามินซีจำพวก เอ, บี 1, บี 2 และ เบต้า แคโรทีน ค่อนข้างสูง คนโบราณเชื่อกันว่ารากของเถาย่านางนั้นสามารถแก้ไขได้ อีกทั้งยังช่วยถอนพิษผิดสำแดงและพิษอื่น ๆ แก้เมาเรือ แก้เมาสุรา แก้โรคหัวใจและแก้ลม ใบก็ช่วยถอนพิษและแก้ไข้

6. ชาชัก เครื่องดื่มประจำชาติ ประเทศมาเลเซีย

ชาชัก ( tea) การดื่มชาเป็นเรื่องที่สำคัญและมีความละเอียดอ่อนมาก โยงใยกับประเพณีและวัฒนธรรมของมนุษย์ในหลากหลายเชื้อชาติทั่วโลก ในเอเชีย มีการทำพิธีชงชา ถือเป็นพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีการสืบทอดกันมายาวนาน
"Teh Tarik" หรือ "เตฮ์ ตาเระ" ซึ่งหมายถึง "ชาชัก" ตามแบบฉบับการชงชาที่พบในคาบสมุทรมลายู ไม่ปรากฏว่าประเทศใดเป็นต้นแบบในการชง "ชาชัก" แต่พบว่ามีร้านชาชักอยู่ทั่วไปทั้งในมาเลเซีย อินโดนีเซีย และภาคใต้ไทย ส่วนกรรมวิธีในการชงชาชักนั้นเป็นการใช้ส่วนผสมระหว่างชาสำเร็จรูปกับนมข้น และนมสด หรือนมแพะ ชงกับน้ำร้อนเดือด

5. น้ำกระเจี๊ยบ เครื่องดื่มประจำชาติ ประเทศพม่า

น้ำกระเจี๊ยบ (Roselle juice) น้ำกระเจี๊ยบ" นางเอกของสมุนไพรที่ช่วยลดไขมันส่วนเกินได้อย่างเหลือเชื่อ จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ พบว่าในกระเจี๊ยบแดงมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง "สารแอนโธไซยานินส์" ในปริมาณมากซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับที่พบในบลูเบอร์รี่ เชอร์รี่ และแครนเบอร์รี่ มีคุณสมบัติในการป้องกันมะเร็ง และชะลอแก่ นอกจากนี้ยังพบว่า กระเจี๊ยบแดงมีคุณสมบัติในการลดคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ และไขมันชนิดเลว (LDL) ในร่างกายของเราได้อย่างดีด้วย

4. น้ำมะม่วงปั่น เครื่องดื่มประจำชาติ ประเทศฟิลิปปินส์

น้ำมะม่วงปั่น ( mango juice) “มะม่วง” นอกจากจะเป็นผลไม้ที่มีรสชาติอร่อยแล้ว ยังเป็นผลไม้ที่มีเส้นใย โพแทสเซียม และวิตามินซีสูงอีกด้วย และในขณะนี้ การศึกษาในห้องปฏิบัติการ ค้นพบว่ามะม่วงอาจช่วยป้องกัน หรือทำลายเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านมได้ สำหรับ ประโยชน์ของมะม่วงนั้น
นอกจากมีวิตามินซีสูงแล้ว ยัง มีวิตามินเอ (เบต้าแคโรทีน) และมีวิตามินอื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับร่างกาย เช่น วิตามินอี บี และเค ซึ่งทั้งหมดนี้จำเป็นสำหรับหัวใจ ช่วยให้หัวใจแข็งแรง และยังอุดมไปด้วยเส้นใย ช่วยรักษาอาการท้องผูกและกล้ามเนื้อลำไส้ใหญ่แข็งเกร็งได้อีกด้วย

3. เต่ชี เครื่องดื่มประจำชาติ ประเทศสิงคโปร์

ชานมร้อน หรือที่ชาวสิงคโปร์เรียกว่า เต่ซี เป็นเมนูเครื่องดื่มยอดนิยมของที่นี่ เรียกได้ว่าสามารถหาชิมได้ทุกศูนย์อาหาร เต่ซี คือ ชาร้อน รสชาติเข้มใส่นมและน้ำตาล คนสิงคโปร์มักมานั่งจิบเต่ซีกันตามศูนย์อาหารริมถนน เหมือนกับสภากาแฟตามต่างจังหวัดของไทยเรา

2. กาแฟ เครื่องดื่มประจำชาติ ประเทศเวียดนาม

กาแฟ เป็นเครื่องดื่มที่ทำจากเมล็ดซึ่งได้จากต้นกาแฟ หรือมักเรียกว่า เมล็ดกาแฟ คั่ว มีการปลูกต้นกาแฟในมากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก กาแฟเขียว (กาแฟซึ่งยังไม่ผ่านการคั่ว) เป็นหนึ่งในสินค้าทางการเกษตรซึ่งมีการซื้อขายกันมากที่สุดในโลก กาแฟมีส่วนประกอบของคาเฟอีน ทำให้มันมีสรรพคุณชูกำลังในมนุษย์ ปัจจุบัน กาแฟเป็นเครื่องดื่มซึ่งได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก

1. น้ำมะพร้าว เครื่องดื่มประจำชาติ ประเทศไทย

น้ำมะพร้าว (coconut juice) ใช้เป็นเครื่องดื่มเกลือแร่ได้ เนื่องจากอุดมไปด้วยโพแทสเซียม นอกจากนี้น้ำมะพร้าวยังมีคุณสมบัติปลอดเชื้อโรค และเป็นสารละลายไอโซโท-นิก ซึ่งด้วยเหตุนี้จึงสามารถนำน้ำมะพร้าวไปใช้ฉีดเข้าหลอดเลือดเวน ในผู้ป่วยที่มีอาการขาดน้ำหรือปริมาณเลือดลดผิดปกติได้
ดูแล้วน้ำมะพร้าวเป็นเครื่องดื่มที่ให้คุณประโยชน์มากทีเดียว ทั้งสดชื่นและบำรุงร่างกาย
 
 
ซ้ำขออภัย

วันตำรวจแห่งชาติ

13 ต.ค. วันตำรวจไทย


วันตำรวจแห่งชาติ
วันตำรวจแห่งชาติ
งานตำรวจ ตรวจตรา หาคนผิด    เพื่อพิชิต คนพาล สันดานถ่อย
เพื่อมิให้ ก่อกรรม ขึ้นซ้ำรอย    และเพื่อคอย คุ้มครอง ผองคนดี
    
กระบวนการ ยุติธรรม จะล้ำค่า    ชาวประชา ยกย่อง สิ้นหมองศรี
ทุกสังคม สุขเกษม สุดเปรมปรีดิ์    ย่อมอยู่ที่ เบื้องต้น คนตรวจตรา
   
หากตำรวจ เป็นกลาง อย่างแท้เที่ยง ไม่ลำเอียง ด้วยใจ ใฝ่มิจฉา
ยึดสัตย์ซื่อ ถือมั่น คำสัญญา    ในสัจจา ปฏิญาณ งานที่ทำ
   
จะอยู่ไหน ปวงชน ก็พ้นทุกข์    สงบสุข สังคม ไม่จมต่ำ
สมเพลงมาร์ช ที่ร้อง ก้องประจำ    ตำรวจทำ ถูกต้อง เพื่อผองชน
   
หากตำรวจ อ่อนไหว ในอามิส    มุ่งจะคิด หาประโยชน์ โฉดฉ้อฉล
ใช้อำนาจ ช่วยเหลือ เพื่อพวกตน    ประชาชน ผิดหวัง ทั้งแผ่นดิน
   
วันตำรวจ เวียนมา อีกคราครั้ง    ฝากความหวัง เลอเลิศ อันเฉิดฉิน
ให้ตำรวจ ใฝ่ดี ทุกชีวิน    สุขสมจินต์ ทั่วหน้า สถาพร
   
ใครทำดี มีสุข ทุกชั้นยศ    เกียรติปรากฏ ภิญโญ สโมสร
ปลอดการเมือง น้ำเน่า เข้าบั่นทอน    ปลอดวงจร ต่ำทราม ข้ามหัวเอย

ด้วยศรัทธาและนับถือ
นายสำเริง เรืองฤทธิ์


          เป็นที่ทราบกันดีว่าอาชีพตำรวจเป็นอาชีพที่เป็นทางการ เป็นข้าราชการที่มีหน้าที่รักษากฎหมาย ดูแลความสงบสุขและความปลอดภัยแก่ประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง และเนื่องจากวันนี้ 13 ตุลาคม เป็น วันตำรวจไทย ดังนั้น เพื่อเป็นการให้ความสำคัญและให้กำลังใจตำรวจดี ๆ ทั่วประเทศ เราจะพาเพื่อน ๆ ไปรู้จัก วันตำรวจ เพื่อรำลึกถึงคุณความดีของตำรวจไทยกันค่ะ

         วันตำรวจไทย เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2458 โดยเป็นวันประกาศรวม "กรมพลตระเวน" กับ "กรมตำรวจภูธร" เป็นกรมเดียวกัน เรียกว่า "กรมตำรวจ" ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "สำนักงานตำรวจแห่งชาติ" กรมตำรวจจึงได้ยึดถือเอาวันที่ 13 ตุลาคม ของทุกปีเป็น วันตำรวจ และได้มีการประกอบพิธี วันตำรวจ อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ.2492 ซึ่งในขณะนั้น พล.ต.อ.หลวงชาติ ตระการโกศล เป็นอธิบดีกรมตำรวจและ จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี

 ประวัติ วันตำรวจ

          กิจการตำรวจได้กำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ โดยพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราระเบียบการปกครองบ้านเมืองเป็น 4 เหล่า เรียกว่า จตุสดมภ์ ได้แก่ เวียง วัง คลัง นาและพร้อมกันนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการตำรวจขึ้น โดยให้ขึ้นอยู่กับเวียง  อันมีเจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ สมุหนายก อัครมหาเสนาบดี เป็นผู้บังคับบัญชา

          ทั้งนี้ กิจการตำรวจในขณะนั้น แบ่งออกเป็น ตำรวจพระนครบาล ตำรวจภูธร ส่วนตำรวจหลวงให้ขึ้นอยู่กับวัง มีเจ้าพระยาธรรมาธิบดีศรีรัตนมณเฑียรบาล เป็นผู้บังคับบัญชา และทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตราศักดินาของตำรวจไว้เป็นบรรทัดฐานในบทพระอัยการ ระบุตำแหน่งนายพลเรือน เช่นเดียวกับข้าราชการฝ่ายอื่น

          นอกจากนี้ ยังมีเอกสารหลายชิ้นที่แสดงว่าบุคคลที่จะเป็นตำรวจได้นั้นต้องคัดเลือกจาก ผู้ที่มีชาติกำเนิดสืบเชื้อสายมาจากตระกูลที่ได้ทำคุณความดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และต้องเป็นบุคคลที่ทรงวางพระราชหฤทัย การบังคับบัญชาตำรวจก็ต้องขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะแต่พระองค์เดียว ทำให้กิจการตำรวจในยุคนี้จะจัดตั้งเพื่อให้ทำหน้าที่ในวงจำกัด และมิได้ขยายไปยังส่วนการปกครองทั่วประเทศเท่าไหร่นัก แต่เมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไป มีการติดต่อกับชาวต่างประเทศมากขึ้น กรมตำรวจจึงได้รับความสนใจที่จะปรับปรุงรูปแบบเพื่อให้เป็นไปตามแบบอย่าง ประเทศตะวันตก

         โดยในปี พ.ศ. 2405 สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการปรับปรุงกิจการตำรวจครั้งสำคัญ กล่าวคือ มีการจัดตั้งกองตำรวจขึ้นเป็นครั้งแรกตามแบบอย่างยุโรป เรียกว่า กองโปลิศ โดย จ้างชาวมลายูและชาวอินเดียเป็นตำรวจ เรียกว่า คอนสเตเปิล โดยให้มีหน้าที่รักษาการณ์แต่ในเขตกรุงเทพมหานครชั้นใน และขึ้นอยู่กับสังกัดกรมพระนครบาล

          ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการปรับปรุงกองโปลิศ และจัดตั้งตำรวจภูธรขึ้นเป็นทหารโปลิศ ในปี พ.ศ. 2419 เพื่อให้เป็นกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยในส่วนภูมิภาค  และให้สามารถปฏิบัติการทางทหารได้ด้วย โดยได้ว่าจ้างนาย G. Schau ชาวเดนมาร์ก เป็นผู้วางโครงการ

         ถัดมาในปี พ.ศ. 2420 กองทหารโปลิศได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นกรมกองตระเวนหัวเมือง และได้มีการจัดตั้งกรมตำรวจภูธรขึ้นแทนกรมกองตระเวนหัวเมือง ในปี พ.ศ. 2440 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่ตั้งให้ พลตรี พระยาวาสุเทพ (G. Schau) เป็นเจ้ากรมตำรวจภูธร และได้มีการขยายกิจการตำรวจไปยังหน่วยการปกครองส่วนภูมิภาคตามลำดับ

          โดยกิจการตำรวจในยุคนี้ขึ้นอยู่กับ 2 กระทรวง คือ กรมพลตระเวน หรือ ตำรวจนครบาล ขึ้นอยู่กับกระทรวงพระนครบาล ส่วนกรมตำรวจภูธรขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทย

          ต่อ มาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการรวบรวมกิจการตำรวจมาเป็นกรมเดียวกัน เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2458 เรียกว่า กรมตำรวจภูธรและกรมพลตระเวน และในปลายปีได้เปลี่ยนเป็นกรมตำรวจภูธร และกรมตำรวจนครบาล และยกฐานะของเจ้ากรมขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทย ในปี พ.ศ. 2465 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ  ให้รวมกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงพระนครบาลเป็นกระทรวงเดียวกัน  เรียกว่า  กระทรวงมหาดไทย กรมตำรวจภูธรและกรมตำรวจนครบาล จึงโอนมาขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทย

          ต่อมาในปี พ.ศ. 2469 กรมตำรวจภูธรและกรมตำรวจนครบาลได้เปลี่ยนชื่อเป็นกรมตำรวจภูธร และกรมตำรวจนครบาลได้เปลี่ยนชื่อเป็นกรมตำรวจภูธร แต่ยังคงแบ่งตำรวจออกเป็น 2 ประเภท คือ  ตำรวจที่จับกุมโจรผู้ร้าย ไต่สวนทำสำนวนฟ้องศาลโปลิศสภาโดยตรง  เรียกว่า  ตำรวจนครบาล ส่วนตำรวจที่ทำการจับกุมผู้ร้ายได้แล้ว ส่งให้อำเภอไต่สวนทำสำนวนให้อัยการประจำจังหวัดนั้น ๆ เรียกว่า ตำรวจภูธร

          จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2475 จึงได้มีการเปลี่ยนชื่อจาก กรมตำรวจภูธร มาเป็น กรมตำรวจ และในปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2542

 กิจกรรม วันตำรวจ


วันตำรวจ
พิธีสวนสนาม วันตำรวจ

          สำหรับการประกอบพิธี วันตำรวจ อย่างเป็นทางการครั้งแรก เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2492 ในสมัยที่ พล.ต.อ.หลวงชาติ ตระการโกศล เป็นอธิบดีกรมตำรวจ และ จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมาในปี พ.ศ.2494 พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้นได้จัดงาน วันตำรวจ โดยให้มีพิธีเดินสวนสนาม และปฏิบัติต่อเนื่องมาจนถึง พ.ศ.2500 

          หลังจากนั้นได้ระงับการจัดพิธีเดินสวนสนามที่เป็นการรวมหน่วยทุกหน่วยของ ตำรวจ และให้ประกอบพิธีทางศาสนาและกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์เพียงอย่างเดียว แต่ในส่วนของนักเรียนนายร้อยตำรวจ และนายตำรวจปกครองของโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ได้กระทำพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนต่อธงชัยประจำหน่วยตำรวจ และสวนสนามภายในโรงเรียนนายร้อยตำรวจเนื่องใน วันตำรวจ เป็นประจำตลอดมาทุกปี

          กระทั่งในปี พ.ศ.2550 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้จัดให้มีพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของเหล่าข้าราชการตำรวจเนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ณ ราชมังคลากีฬาสถาน โดยมี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี และได้อัญเชิญธงชัยประจำหน่วยตำรวจซึ่งมีความสำคัญเช่นเดียวกับธงชัยเฉลิมพล ของทหาร จำนวนทั้งสิ้น 13 ธง มากระทำพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณและสวนสนาม

 วันตำรวจ 2553

          พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานงาน วันตำรวจแห่งชาติ 2553 โดยมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่ข้าราชการตำรวจตลอดจนหน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ดีเด่น รวมถึงพลเมืองดีที่ช่วยเหลืองานข้าราชการตำรวจ จำนวนทั้งสิ้น 162 รางวัล

          พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวด้วยว่า วันนี้เป็นวันแห่งเกียรติยศและความภาคภูมิใจของข้าราชการตำรวจทุกนาย ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่เสียสละ อดทนและทุ่มเททั้งกำลังแรงกายและใจในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยให้กับประชาชน และประเทศชาติ นอกจากนี้ ตนยังรู้สึกปลาบปลื้มใจที่ได้แสดงความขอบคุณหน่วยงานราชการตลอดจนพลเมืองดีที่ช่วยเหลือราชการตำรวจ พร้อมกันนี้ยังฝากไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไม่ได้รับรางวัลหรือการประกาศกียรติคุณในครังนี้ว่าไม่ต้องเสียใจ เนื่องจากผู้บังคับบัญชาในแต่ละพื้นที่ได้ดูแลทุกข์สุขรวมถึงสวัสดิการต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องที่พักอยู่แล้ว ซึ่งทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเข้าไปดูแลโดยเร็วที่สุด

         ขณะที่ พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รอง ผบช.น. รับผิดชอบงานจราจร เปิดเผยว่า ในวันที่ 13 ตุลาคมนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความยิ้มแย้ม เป็นมิตรกับประชาชน ไม่เน้นการจับกุมด้วยการออกใบสั่ง แต่จะกล่าวตักเตือนผู้กระทำผิดแทน และแนะนำให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่และแก้ไขรถให้ถูกต้องตามกฎหมาย

          อย่างไรก็ตาม หากมีผู้กระทำผิดที่ถูกออกใบสั่ง และเดินทางมาชำระค่าปรับในวันที่ 13 ต.ค.2553 พนักงานสอบสวนทุกสถานีในสังกัด บช.น.จะพิจารณาเปรียบเทียบปรับใบสั่ง ในอัตราขั้นต่ำของแต่ละข้อหาคือ อัตรา 100 บาท หรือ 400 บาท  เพื่อเป็นการรณรงค์ให้ประชาชนเคารพกฎหมายจราจร เดินทางมาชำระค่าปรับตามกำหนด และสร้างจิตสำนึกไม่กระทำผิดกฎหมายจราจรซ้ำ  ยกเว้นการชำระค่าปรับของระบบกล้องตรวจจับฝ่าสัญญาณไฟแดง ( Red Light Camera ) ที่ต้องชำระตามเกณท์เดิมคือ 500 บาท

          และเนื่องในโอกาส วันตำรวจ ทางทีมงานขอเป็นกำลังให้กับนายตำรวจดี ๆ ทุกท่าน ที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจอย่างสำเร็จครบถ้วน ช่วยพิทักษ์สันติราษฎร์ ดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชน รวมทั้งคุมกฎเพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองด้วยนะคะ





ขอขอบคุณข้อมูลจาก