วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

กินเตี๋ยวเส้นไหน อ้วนสุด ??

" ชอบกินเส้น จ่ะ ชอบกินเส้น " หลายๆท่าน คงเคยได้ยินเพลงนี้นะครับ โดยเฉพาะคนชอบกินเส้นทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นก๋วยเตี๋ยวเส้นต่างๆ หรือจะเป็นขนมจีนหลายหลายน้ำยา ผมก็คนนึงครับ ที่อยู่ชมรใคนชอบกินเส้นเหมือนกัน ซึ่งผมก็มีข้อมูลเกี่ยวกับพลังงาน ในเส้นต่างๆ ว่าเส้นต่างๆนั้น ให้พลังงานเท่าไนกันบ้าง ไปดูกันครับ 


วุ้นเส้น ให้พลังงาน 330 กิโลแคลอรี่ เห็นตัวเลขพลังงานพุ่งขนาดนี้ อย่าเพิ่งตกใจ เพราะวุ้นเส้นมีน้ำหนักเบามาก 1 ซองประมาณ 50 กรัมเท่านั้น ปกติที่ทานกันก็ไม่ถึง 100 กรัม แต่มีหลายคนเข้าใจผิดว่าวุ้นเส้นเป็นโปรตีน จริงอยู่ว่าเส้นชนิดนี้ทำจากถั่วเขียว แต่ในกระบวนการผลิตถั่วจะถูกโม่และแยกโปรตีนออกไปจนเหลือแต่แป้ง และยังมีการผสมแป้งมันลงไปเพื่อเป็นการลดต้นทุนด้วย เมื่อทานแล้วจะไม่เหนียวเท่าวุ้นเส้นจากถั่วเขียว 100%

เส้นบะหมี่ ให้พลังงาน 300 กิโลแคลอรี่ โดยบะหมี่เส้นสีเหลืองทำมาจากแป้งสาลี ซึ่งเป็นแป้งที่มีโปรตีนสูงพอสมควร แถมยังได้ประโยชน์จากแคโรทีนอยด์และฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มวิตามินเออีกด้วย ส่วนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถึงแม้จะสีเหลืองเหมือนกันแต่ก็ผ่านการทอดและปรุงรสจนมีไขมันและโซเดียมสูง ปริมาณ 1 ซอง (60 กรัม) ก็ให้พลังงานถึง 280 กิโลแคลอรี่ และยังเป็นพลังงานจากไขมันเกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว ถ้าหากอยากกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ควรซื้อชนิดที่มีการเติมสารอาหาร เช่น ไอโอดีน ธาตุเหล็ก หรือวิตามินเอเพิ่มเข้าไป เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้มากขึ้น

เส้นก๋วยเตี๋ยว ให้พลังงาน 150-220 กิโลแคลอรี่ ก๋วยเตี๋ยวเส้นขาวๆ ทั้งเส้นใหญ่ เส้นเล็ก และเส้นหมี่ ล้วนทำมาจากแป้งข้าวเจ้าเหมือนกันแต่ให้พลังงานที่ต่างกันขึ้นอยู่กับความชื้นของเส้น โดยเส้นใหญ่จะมีแคลอรี่สูงที่สุด เพราะมักจะเคลือบน้ำมัน ทำให้ในปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงานสูงถึง 220 กิโลแคลอรี่ ในขณะที่เส้นเล็กให้พลังงานประมาณ 180 กิโลแคลอรี่ และเส้นหมี่ให้พลังงานประมาณ 150 กิโลแคลอรี่เท่านั้น

เส้นขนมจีน ให้พลังงาน 80 กิโลแคลอรี่ เส้นขนมจีนถึงแม้จะทำจากแป้งสาลีเหมือนกับเส้นก๋วยเตี๋ยว แต่แป้งสำหรับเส้นขนมจีนจะหมักแช่น้ำไว้ก่อน จึงนำไปผ่านกระบวนการต่างๆ และมักเป็นเส้นสดใหม่ที่ทำวันต่อวัน เส้นจึงมีองค์ประกอบของน้ำมาก และให้พลังงานต่ำกว่าเส้นก๋วยเตี๋ยว แต่ข้อเสียอย่างหนึ่งของเส้นที่มีความชื้นสูงแบบนี้ก็คือทานแล้วรู้สึกว่าไม่อยู่ท้อง วิธีการเลือกซื้อควรเลือกแบบที่เป็นสีธรรมชาติ ไม่มีการแต่งสีเพิ่มเติม และหากซื้อมาแล้วยังไม่กินควรแช่ตู้เย็นเก็บไว้ แม้จะเป็นแป้งหมักแต่ก็ไม่ควรทิ้งไว้ข้ามวัน

เส้นแก้ว ให้พลังงาน 20 กิโลแคลอรี่ เส้นแก้วใสๆ คล้ายวุ้นเส้นแต่มีลักษณะอวบและกรุบกว่า ทำจากสาหร่ายทะเลสีน้ำตาล 100 กรัม มีคาร์โบไฮเดรตน้อยมาก ประมาณ 4 กรัม นอกเหนือจากนั้นก็เป็นใยอาหารเหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือต้องการลดน้ำหนัก สำหรับส่วนที่ทำให้เส้นแก้วแตกต่างจากเส้นบุกก็คือ เส้นชนิดนี้จะมีโซเดียมและแคลเซียมอยู่เล็กน้อย ซึ่งเส้นแก้วสามารถนำมากินสดๆ ได้เลย แต่หากไม่ชอบความจืดและกรุบจะนำไปปรุงรสและผ่านความร้อนเพื่อให้เส้นนุ่มลงก็ได้ แต่อาจต้องใช้เวลานานกว่าเส้นอื่นสักหน่อย

เส้นบุก ให้พลังงาน 10 กิโลแคลอรี่ เส้นหนึบๆ ที่แปรรูปมาจากหัวบุกมีเส้นใยสูงและให้พลังงานต่ำมาก แถมสารแป้งในหัวบุกซึ่งเรียกว่าแมนแนนเมื่อแตกตัวจะได้เป็นน้ำตาลกลูโคสและแมนโนส ซึ่งงานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่าในกระบวนการย่อย แมนโนสจะถูกดูดซึมช้ากว่ากลูโคสน้ำตาลในเลือดจึงเพิ่มขึ้นช้าเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานและสาวๆ ที่อยากลดน้ำหนักทั้งหลายโดยเส้นบุกมีทั้งแบบเส้นใสและแบบผสมสาหร่ายทะเลเพื่อเพิ่มคุณค่าอาหารแต่ให้พลังงานต่ำไม่ต่างกัน ส่วนการปรุงควรลวกในน้ำเดือดจัดจึงจะได้เส้นบุกที่นุ่มกำลังดี

รู้อย่างงี้แล้วก็สามารถเลือกอ้วนได้ตามสบายเลยนะครับ อิอิ

ข้อมูลจาก lifestyle.th.msn.com/
 

วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

สุขภาพน่ารู้ : วิธีแก้ง่วงยามบ่าย โดยไม่ต้องพึ่งกาแฟ

สุขภาพน่ารู้ 
  วิธี แก้ง่วง ยามบ่าย โดยไม่ต้องพึ่งกาแฟ

UploadImage

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มักหาวแล้วหาวอีก ต้องทนทรมานกับความง่วงช่วงบ่ายบ่อย ๆ ทำให้เสียสมาธิในการเรียน หรือ ทำงาน นั่นเป็นเพราะมื้อกลางวันรับประทานอาหารอุดมแป้ง และน้ำตาลขัดขาวมากเกินไป ลองลดปัจจัยดังกล่าว แล้วเพิ่มปริมาณผัก ผลไม้ รวมทั้งธัญพืชเยอะขึ้นอีก จากนั้น คอยสังเกตความเปลี่ยนแปลง
โดย “ผัก-ผลไม้อุดมวิตามินซี” จำพวกบรอกโคลี ฝรั่ง ส้ม จะช่วยต้านความล้าจากอาการเครียด และกังวล ส่วนแอปเปิล กล้วย มีโครเมียม ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด และเพิ่มพลังงานแก่ร่างกาย ส่วน “ธัญพืช” เช่น งา ถั่วเมล็ดแห้ง ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ซึ่งไม่ผ่านการขัดสี หรือ ขัดสีน้อยที่สุด จะให้วิตามิน และแร่ธาตุที่มีประโยชน์ บำรุงประสาท และช่วยให้จิตใจแจ่มใสสดชื่น
นอกจากนั้น อาจเปลี่ยนอิริยาบถโดยการ “ลุกเดิน” ด้วยระยะก้าวปานกลาง นานประมาณ 3-5 นาที ก็เป็นอีกวิธีในการคลายง่วงได้ เนื่องจากช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต คลื่นสมองทำงานดีขึ้น ร่างกายรู้สึกตื่นตัว
ทั้งนี้ “หากทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ควรหมั่นพักสายตาทุก 1 ชั่วโมง” โดยหลับตา หรือ มองไปไกล ๆ ประมาณ 5 นาที อาจใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ ประคบดวงตา ประมาณ 2-3 นาที จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อตา และทำให้เลือดหมุนเวียนมาเลี้ยงดวงตาได้ดี ทั้งยังคลายง่วง และลดการเพลียตา เพราะแสงจากหน้าจอ
รวมทั้ง “อย่าลืมมีน้ำดื่มติดโต๊ะ” ค่อย ๆ จิบระหว่างวัน ทั้งนี้ ควรเป็นน้ำอุณหภูมิห้อง เพื่อร่างกายจะดูดซึมไปใช้ในระบบหมุนเวียนเลือดได้ทันที ช่วยเพิ่มความสดชื่น และกระปรี้กระเปร่า
เป็นวิธีง่าย ๆ ช่วยให้สดชื่นตื่นตัวได้ โดยไม่พึ่งกาแฟ ลองนำไปประยุกต์ใช้กันดู

ขอบคุณข้อมูล สุขภาพน่ารู้ จาก เดลินิวส์ออนไลน์ 12 มกราคม 2012
photo credit : blog.westervillelibrary.org

วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ความรัก






“รักคืออะไร" ?


ไม่มีใครสามารถตอบได้ตรงกับใจทุกคนในโลก

เพราะ “รัก” มีมากมายร้อยพันที่แต่ละคนจะขีดเขียน หรือนิยามขึ้นมา 

ของคนโน้น . . . ความรักอาจะเป็นอย่างนี้ 

แต่ของคนนี้ . . . อาจจะเป็นอย่างนั้น

"รัก หรือ ความรัก" คืออะไรก็ได้ แล้วแต่เราอยากจะให้เป็น 

"ความรัก"อาจจะไม่ต้องมีเหตุผล ไม่ต้องรู้สาเหตุ

ก็สามารถเกิดขึ้นได้

"ความรัก" ทำให้ใครบางคนรู้สึกดี อิ่มเอม เต็มตื้น สุขใจ 

มีความหวังกับร้อยความฝัน ไม่เดียวดาย ไม่อ้างว้าง 

แต่ "ความรัก" ของใครบางคน อาจทำให้ร้อนรุ่ม กระวนกระวาย สับสน

. . . เหมือนคนที่หาทางออกให้กับตัวเองไม่เจอ . . .

บางคน . . . พอใจที่จะมี "ความรัก" ขอได้แค่ "แอบรัก"

พอใจที่ได้เห็นหน้า ได้ฟังเสียง

มีความสุขแม้ว่าจะต้องมี “ความรัก” กับคนที่มีเจ้าของแล้ว

มีความสุขเพียงเพื่อได้เห็นหน้าเท่านั้นก็พอ

มีความสุขที่ได้รัก แม้ว่าเขาคนนั้นจะเป็นคนเลวๆ ๆ ในสายตาคนอื่นก็ตาม

แต่ในความเป็นจริง . . . 

สิ่งเหล่านี้ อาจจะเอื้อมมือคว้าเท่าไหร่ก็ไม่มีวันได้สัมผัส 

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้บางคน . . .พอใจที่จะหยุด

. . . และจบความสัมพันธ์แบบนี้ลง

ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อคนอีกคน หรือ เพื่อตัวเอง

จึงขอยอมที่จะเจ็บปวด และร้าวรานใจเพียงคนเดียว

แต่ "ความรัก" ใช่ว่าจะจบลง หรือ สิ้นไป 

เพราะนี่ เป็นแค่การเริ่มต้นของ "การมีความรัก" 

เป็นการเรียนรู้ที่จะก้าวไป นี่เป็น "ก้าวแรก"

และนี่ก็เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของ “ความรัก” เท่านั้น

“ความรัก” ไม่สามารถบอกได้ว่า ถูก หรือผิด
เพราะ “ความรัก” มันเป็นเรื่องของความรู้สึกของแต่ละคนมากกว่า

คนเราไม่สามารถสั่งใจให้รู้สึกได้

หากใจไม่รัก ก็ . . . คือ ไม่รัก 

และหากใจรักก็คงบอกความรู้สึกว่า “ไม่รัก . . . ไม่ได้”

From : FW Mail

วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ศิลปินแห่งชาติ ประจำปี 2556



กระทรวงวัฒนธรรมประกาศผล 9 ศิลปินแห่งชาติ ประจำปี 2556 

วันที่ 16 ม.ค. ที่หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย นายสนธยา คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม (วธ.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (กวช.) ครั้งที่ 1/2557 ว่า กวช.พิจารณารายชื่อผู้สมควรได้รับการยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติประจำปี 2556 ผลปรากฏว่า มีผู้สมควรที่ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ จำนวน 9 คน ดังนี้ 1.สาขาทัศนศิลป์ ได้แก่ นายช่วง มูลพินิจ (จิตรกรรม) นายธีรพล นิยม (สถาปัตยกรรม) 2.สาขาวรรณศิลป์ ได้แก่ นางรำไพพรรณ สุวรรณสาร ศรีโสภา หรือโสภาค สุวรรณ นายวินทร์ เลี้ยววาริณ หรือวินทร์ เลียววาริณ และนายเจริญ มาลาโรจน์ หรือมาลา คำจันทร์ 3. สาขาศิลปะการแสดง ได้แก่ นางนิตยา รากแก่น หรือบานเย็น รากแก่น (การแสดงดนตรีพื้นบ้าน-หมอลำ) นายยืนยง โอภากุล หรือแอ๊ด คาราบาว (ดนตรีไทยสากล) นายบุญฉลองภักดี วิจิตร (ผู้กำกับ-ผู้สร้างภาพยนตร์และละครโทรทัศน์) และนายเฉลิม ม่วงแพรศรี (ดนตรีไทย)

“นับตั้งแต่เริ่มโครงการศิลปินแห่งชาติมาตั้งแต่ปี 2528 จนถึงปี 2556 ได้มีการประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติศิลปินแห่งชาติแล้วรวม 246 คน เสียชีวิตไปแล้ว 101 คน มีชีวิตอยู่ 145 คน โดยศิลปินแห่งชาติ ประจำปี 2556  จะเข้ารับพระราชทานโล่และเข็มเชิดชูเกียรติจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวันที่ 24 ก.พ.นี้ ซึ่งตรงกับวันศิลปินแห่งชาติ และในวันดังกล่าวจะมีงานเลี้ยงแสดงความยินดีแก่ศิลปินแห่งชาติ พร้อมกิจกรรมการแสดงและนิทรรศการศิลปินแห่งชาติ ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยด้วย” นายสนธยา กล่าว

นายช่วง มูลพินิจ กล่าวว่า รู้สึกยินดีที่ได้รับเลือกให้เป็นศิลปินแห่งชาติ ได้ทำงานด้านจิตรกรรมมากว่า 50 ปี งานทุกอย่างที่ทำทำด้วยความตั้งใจ รักงานที่ทำ มีวินัยต่อการทำงาน ทุกครั้งที่ได้ถ่ายทอดผลงานแก่ลูกศิษย์หรือบุคคลทั่วไป ก็จะรู้สึกมีความสุข จากนี้ตั้งใจจะสร้างผลงานศิลปะ และเผยแพร่ผลงานสู่คนรุ่นใหม่ต่อไป

นางบานเย็น กล่าวว่า ดีใจมากไม่คิดว่า จะได้รับเลือกเป็นศิลปินแห่งชาติ ที่ผ่านมาตลอด 47 ปีตั้งใจเผยแพร่ผลงานหมอลำทั้งในและต่างประเทศ หลังจากนี้ ตนตั้งใจว่า จะเปิดโรงเรียนสอนหมอลำ และจะถ่ายความรู้ที่มีทั้งหมดให้แก่ คนใหม่ได้ศึกษาและช่วยสืบทอด

นายฉลอง กล่าวว่า ตลอดเวลาที่สร้างภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ สิ่งที่ยึดเหนี่ยวในใจ คือการให้ความบันเทิง และให้ความรู้สอดแทรกสติเพื่อให้ผู้ชมได้นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน นอกจากนั้นภาพยนตร์แต่ละเรื่องจะทอดแทรกศิลปวัฒนธรรมไทย รวมถึงมวยไทย มรดกภูมิปัญญา เพื่อเผยแพร่ให้ชาวไทยและชาวต่างชาติได้รับรู้ การได้รับยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติ ถือเป็นเกียรติสูงสุด จากนี้แม้จะอายุ 86 ปี ก็จะสร้างผลงานต่อไปทำทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม
ขณะที่ นายเฉลิม กล่าวว่า รู้สึกดีใจมากที่ได้รับการยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติ ตนทำงานปิดทองหลังพระก็ยังมีคนเห็น และได้สอนหนังสือถ่ายทอดความรู้ดนตรีไทย วัฒนธรรมไทยมานาน ถึงแม้ว่าจะได้รับการยกย่องตอนอายุมากแล้วถึง 75 ปี แล้วก็ตามก็จะยังคงทำงานต่อไป โดยปกติจะสอนดนตรีไทยตามมหาวิทยาลัยต่างๆ อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

“สถานการณ์เกี่ยวกับเด็กและเยาวชนกับดนตรีไทย พบว่า พ่อแม่ไม่สนใจ ทำให้เด็กไม่สนใจตามไปด้วย วัฒนธรรมต่างชาติก็มาแรง ทำให้ดนตรีไทยถูกลืมเลือน ไม่ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรภาครัฐ ไม่มีการเผยแพร่ทางสื่อมวลชนด้วย ทำให้ครูดนตรีไทย ใจหดหู่ สิ่งเดียวที่ทำให้ครูดนตรีไทยอยู่ได้คือ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงอนุรักษ์และทรงสนับสนุนไม่ให้ดนตรีไทยซบเซามากกว่านี้” นายเฉลิม กล่าว
 
ด้าน นายวินทร์ กล่าวว่า รู้สึกภูมิใจมากที่ได้รับการคัดเลือก ถือเป็นกำลังใจในการทำงานอย่างมาก เพราะตลอดเวลาที่ทำงานเขียนหนังสือมานั้นก็กว่า 30 ปี เป็นนักเขียนอาชีพมีผลงานตีพิมพ์ครั้งแรกรวมแล้วก็กว่า 25 ปี การทำงานที่ผ่านมา จึงถือว่าไม่สูญเปล่า ตนคิดว่าการทำงานใดๆ ก็ตามถ้าเราตั้งใจทำอย่างจริงจัง ผลงานนั้นก็จะออกดอกออกผลให้เราเห็นเองและจะตอบสนองงานที่ทำได้เป็นอย่างดี
 
ประวัติ นายช่วง มูลพินิจ ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ปัจจุบันอายุ 74 ปี เกิดวันที่ 7 ธ.ค. 2483  ที่จ.สมุทรสงคราม ผลงานศิลปะได้รับแรงบันดาลใจ ความศรัทธาแนวความคิดมาจากวิถีชีวิต และธรรมชาติสิ่งแวดล้อมที่ผสมกลมกลืนกับคติความเชื่อความศรัทธาและปรัชญาในพระพุทธศาสนาเป็นหลัก สื่อแสดงผ่านรูปแบบในเชิงสัญลักษณ์ของเรื่องราวดอกไม้ ธรรมชาติ แมลง สัตว์ มนุษย์ เป็นศิลปินไทยร่วมสมัยที่สร้างสรรค์ผลงานหลากหลายรูปแบบเทคนิควิธีการ ไม่ว่าจะเป็นผลงานวาดเส้นงานจิตรกรรม ประติมากรรม พุทธปฏิมา วรรณกรรม มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ 2505 - ปัจจุบัน เป็นเวลากว่า 50  ปี ตลอดมารวมทั้งยังได้จัดสร้างพิพิธภัณฑ์ศิลปะส่วนตัว และ“จิตรกรผู้มองเห็นมดยิ้มสวย” คือฉายาที่ได้รับจากรงค์ วงษ์สวรรค์ ศิลปินแห่งชาติ 

ประวัติ นายธีรพล  นิยม ศิลปินแห่งชาติ  สาขาทัศนศิลป์ (สถาปัตยกรรม)  ปัจจุบันอายุ 63 ปี เกิดวันที่  17 พ.ค. 2494  ที่ จ.พังงา สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ และปริญญาโท การพัฒนาชุมชนและชนบท จากสถาบันเทคโนโลยีเอเชีย กรุงเทพฯ หลังจากสำเร็จการศึกษา ได้เป็นผู้นำในการก่อตั้งบริษัทแปลน  สร้างงานสถาปัตยกรรมของตนเองอย่างต่อเนื่อง ผลงานได้รับเหรียญทองสถาปัตยกรรมดีเด่น จากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์รางวัลออกแบบชุมชนเมืองดีเด่น จากสมาคมสถาปนิกชุมชนเมืองไทยรางวัลชนะเลิศ จากการประกวดแบบรัฐสภาแห่งใหม่กรุงเทพมหานคร ทั้งได้ก่อตั้งสถาบันอาศรมศิลป์ สถาบันอุดมศึกษาเอกชน โดยไม่แสวงหาผลกำไรภายใต้มูลนิธิโรงเรียนรุ่งอรุณ เป็นการต่อยอดการจัดการศึกษาแบบชุมชนแห่งการเรียนรู้ และการเรียนรู้จากการลงมือทำ 

นายเจริญ มาลาโรจน์ นามปากกา มาลา คำจันทร์ ปัจจุบันอายุ 62 ปี เกิดวันที่ 12 ก.พ. 2495 ที่ ต.เมืองพาน  อ.พาน จ.เชียงราย สนใจด้านการเขียนมาตั้งแต่เป็นนักเรียนชั้นมัธยม งานเขียนในยุคแรกเป็น  กลอนแปด ได้แก่ “นิราศผาโขง” “นิราศลานนา” และ “นิราศธุลี” หลังจากนั้นได้เขียน “นิราศพระลอ” ซึ่งพัฒนาการเชิงฉันทลักษณ์จากกลอนแปดมาเป็นโคลง  ซึ่งผลงานจากนิราศเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่ผลงานชิ้นสำคัญ คือ “เจ้าจันท์ผมหอม” “นิราศพระธาตุอินทร์แขวน”  ในเวลาต่อมา ปัจจุบันผลงานนามปากกา “ “มาลา คำจันทร์” ได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์จำนวน 3เรื่อง ได้แก่ นวนิยายเรื่อง “วิถีคนกล้า” ได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์ ออกฉายปี2535 ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ครั้งที่ 15 รางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 2 และรางวัลสหพันธ์ภาพยนตร์แห่งชาติ ครั้งที่ 1เรื่องสั้น “ตุ๊ปู่” ได้รับการดัดแปลงเป็นส่วนหนึ่งในภาพยนตร์ “สถานี 4 ภาค” ออกฉายในปี2555   นอกจากนี้ ผลงานนวนิยาย เจ้าจันท์ผมหอม  นิราศพระธาตุอินทร์แขวน ยัง ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์)ด้วย

นางรำไพพรรณ  สุวรรณสาร ศรีโสภาค  เกิดวันที่ 18  ส.ค. 2487 ที่กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันอายุ  70 ปี เขียนนวนิยายได้หลายแนว  ที่เด่นที่สุดคือไพรัชนิยาย  ซึ่งสร้างกระแสนิยมการเขียนนวนิยายแนวนี้ต่อเนื่องมายังนักเขียนรุ่นใหม่  นอกจากนี้ยังมีนวนิยายอิงประวัติศาสตร์  นวนิยายรัก  นวนิยายจิตวิทยา  นวนิยายแนวชีวิตครอบครัวและสะท้อนสังคม นวนิยายเรื่องเด่น ๆ ที่ได้รับความนิยม  เช่น ฟ้าจรดทราย สายโลหิต  ญาติกา รักในสายหมอก  ปุลากง  เงาราหู  จินตปาตี  เป็นต้น นวนิยายของโสภาค  สุวรรณให้ความบันเทิงและเปี่ยมไปด้วยสาระ  ทำให้เป็นนักเขียนยอดนิยมที่ครองใจผู้อ่านมายาวนาน 

นายวินทร์ เลี้ยววาริณ  นามปากกา วินทร์ เลียววาริณ เกิดวันที่ 3 เม.ย. 2499 ที่จ.สงขลา ปัจจุบันอายุ 58 ปี เป็นนักเขียนอาชีพ สร้างสรรค์ผลงานมายาวนานกว่า 20 ปี เขียนวรรณกรรมได้หลายรูปแบบทั้งนวนิยาย  เรื่องสั้น สารคดี และความเรียง มีชื่อเสียงจากการเป็นนักเขียนวรรณกรรม แนวทดลอง คือไม่ติดยึดกับรูปแบบวรรณกรรมตามจารีต แต่พัฒนาโดยใช้ศิลปะการนำเสนออย่างสร้างสรรค์และแปลกใหม่ ทำให้ได้รับรางวัลซีไรต์ 2 ครั้ง รางวัลศิลปาธร รางวัลช่อการะเกด เป็นต้น งานเขียนมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมืองและนักการเมือง ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์และสื่อมวลชน เพื่อนำเสนอปัญหาสังคมในด้านต่างๆ รวมทั้งอารมณ์ความคิดที่ซับซ้อนในตัวมนุษย์  

นางนิตยา รากแก่น ปัจจุบันอายุ 62 ปี เกิดวันที่ 14 ต.ค. 2495 ที่จ.อุบลราชธานี จบการศึกษาชั้นป.4  โรงเรียนสามัคคีวิทยาคาร จ.อุบลราชธานี ภายหลัง ในปี 2544 ได้รับปริญญาศิลปะศาสตร์ มหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขานาฏศิลป์และการละคร จากมหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี เริ่มต้นชีวิตหมอลำหลังจากจบป.4 โดยเป็นศิษย์ครูหนูเวียง แก้วประเสริฐ ซึ่งเป็นหมอลำกลอนที่มีชื่อเสียงของจังหวัดอุบลราชธานี ทุ่มเทฝึกซ้อมอย่างหนักทั้งกลอนลำ ท่าฟ้อนรำ จนสามารถขึ้นเวทีแสดงหมอลำกลอนได้ในขณะที่มีอายุเพียง 14 ปี รับงานแสดงหมอลำเป็นอาชีพมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ด้วยความเฉลียวฉลาดในการด้นกลอน มีปฏิภาณไหวพริบ น้ำเสียงไพเราะ รูปร่างหน้าตาดี จึงทำให้เป็นที่นิยมชมชอบของผู้ชม ในปี 2516 ตั้งวงดนตรีลูกทุ่งหมอลำ บานเย็น  รากแก่น รับงานแสดง จนได้รับการขนานนามว่า ราชินีหมอลำ ทำงานอุทิศตนให้กับการยกระดับมาตรฐานหมอลำอย่างจริงจังมายาวนานถึง 4 ทศวรรษ ในฐานะที่เป็นผู้อนุรักษ์และเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทย โดยเฉพาะศิลปะเพลงพื้นบ้านอีสานให้เป็นที่รู้จักและเผยแพร่ไปทั่วโลก นอกจากนี้ยังได้อุทิศตนเป็นครูผู้ถ่ายทอดภูมิปัญญาการขับร้อง กลอนลำ และแบบแผนลีลาฟ้อนรำให้แก่ลูกศิษย์ทั้งในสถาบันการศึกษาและผู้สนใจทั่วไป จนเกิดหมอลำรุ่นใหม่และศิลปินนักร้องนักเต้นอีสานออกมารับใช้สังคมเป็นจำนวนมาก  ได้รับรางวัลยกย่องเกียรติคุณสำคัญ อาทิ พระพิฆเนศทองพระราชทาน ศิลปินดีเด่นจังหวัดอุบลราชธานี รางวัลเชิดชูเกียรติศิลปินมรดกอีสาน

นายเฉลิม ม่วงแพรศรี ปัจจุบันอายุ 76 ปี เกิดวันที่ 2 ส.ค. 2481ที่กรุงเทพมหานคร สำเร็จการศึกษาอักษรศาสตร์บัณฑิต จากจุฬาฯ เป็นผู้มีความรู้ความสามารถในการบรรเลงซอชนิดต่าง ๆ ทั้งซอด้วง ซออู้ และซอสามสายเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะซอสามสายถือได้ว่าเป็นเอตทัคคะคนหนึ่งของประเทศ อีกทั้งเป็นผู้เข้าใจแบบแผนการบรรเลงวงเครื่องสายและวงมโหรีตามขนบนิยมเป็นอย่างดี จึงได้รับเกียรติจากสถาบันการศึกษาต่าง ๆ เชิญไปถ่ายทอดความรู้ให้แก่นักเรียน นิสิต นักศึกษามาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 50 ปี ผลิตนักดนตรีไทยทั้งนักดนตรีอาชีพและนักดนตรีสมัครเล่นไว้จำนวนมาก   นอกจากนี้  นายเฉลิม ม่วงแพรศรี ยังมีความสามารถในการประพันธ์เพลงเป็นอย่างยิ่ง  ผลงานเพลงที่ประพันธ์ไว้ได้แก่  เพลงเฉลิมศิลป์  เพลงบัวกลางบึง เถา เพลงนพรัตน์ และทางเดี่ยวซอชนิดต่าง ๆ รวมกันกว่า 40 เพลง

นายบุญฉลอง  ภักดีวิจิตร หรือฉลอง  ภักดีวิจิตร ปัจจุบันอายุ 83 ปี เกิดเมื่อวันที่ 18 มี.ค. 2474 ที่กรุงเทพมหานคร สำเร็จการศึกษาระดับเตรียมอุดมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนอำนวยศิลป์ เข้าสู่วงการภาพยนตร์โดยได้แรงบันดาลใจจากบิดาเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ และคุณอาเป็นผู้ถ่ายภาพและกำกับการแสดง ด้วยวัยเพียง 19  ปี ได้ก้าวเข้ามาเป็นช่างถ่ายภาพยนตร์ ถ่ายภาพยนตร์เรื่องแรก เรื่องแสนแสบ จากนั้นศึกษาขบวนการทำภาพยนตร์และเทคนิคด้วยตนเองจากหนังสือคู่มือรวบรวมขบวนการถ่ายทำของประเทศสหรัฐอเมริกา พัฒนาการถ่ายทำภาพยนตร์มาเป็นลำดับ จนประสบความสำเร็จได้รับรางวัลตุ๊กตาทองพระราชทาน พระสุรัสวดี ถึง 2 ปีซ้อนในฐานะช่างถ่ายภาพยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่องผู้พิชิตมัจจุราชและละอองดาว จากประสบการณ์ที่ถ่ายทำภาพยนตร์จึงเปลี่ยนมาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ และผู้อำนวยการสร้าง โดยกำกับภาพยนตร์เรื่องแรก คือ เรื่องจ้าวอินทรีย์ ต่อมาสร้างผลงานมากมาย  มุ่งมั่นที่จะนำภาพยนตร์ไทยเข้าสู่ตลาดภาพยนตร์นานาชาติ นำดาราต่างประเทศมาร่วมนำแสดงจนประสบความสำเร็จเป็นที่ยอมรับทั่วโลก  และกล้าที่จะลงทุนทำให้ภาพยนตร์ เรื่อง ทอง คือ ตำนานของผู้กำกับอย่างฉลอง ภักดีวิจิตร ต่อมาได้ผันตัวเองมาทำงานบุกเบิกละครแนวบู๊ทางโทรทัศน์ มีผลงานโด่งดังมาจนปัจจุบัน



การอ่านกับอาเซียน

การอ่านกับอาเซียน


การอ่านเพื่อมุ่งพัฒนาสู่อาเซียน
     “การอ่าน” เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนากระบวนการคิด และภูมิปัญญา นำไปสู่การพัฒนาคุณภาพคน สังคมและประเทศ แต่นิสัยคนไทยยังไม่ค่อยรักการอ่าน ซึ่งผลสำรวจพฤติกรรมการอ่านหนังสือของคนไทย พบว่าการหนังสือเฉลี่ยเพียงปีละ 5 เล่ม ต่อคน นับว่าต่ำมาก เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างเช่น ประเทศมาเลเซีย มีสถิติการถ่านหนังสือปีละ 40 เล่มต่อคน หรือประเทศสิงคโปร์ เฉลี่ยปีละ 70 เล่มต่อคน แม้แต่เวียดนาม ที่มีการอ่านหนังสือปีละ 60 เล่มต่อคน (ข้อมูลจากการดูรายการ ช่วยคิดช่วยทำ ทางช่อง 3 วันที่ 30 มี.ค. 55)
ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยยังขาดนิสัยรักการอ่านเป็นอย่างมาก แต่นิสัยคนไทยมักมีค่านิยมของการอ่าน เพื่อความบันเทิง เพื่อความสนุกสนาน แต่ไม่ค่อยอ่านหนังสือประเภทที่จะสามารถสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพ หรือแม้กระทั่งการอ่านภาษาอังกฤษ คนไทยก็ยังไม่สนใจอ่าน ซึ่งหนังสือที่คนมักชอบอ่าน เช่น เรื่องย่อละคร หนังสือพิมพ์กีฬา หรือค่านิยมของเทคโนโลยีการสื่อสาร เช่น เล่น Internet , facebook เป็นต้น จนทำให้คนไทยมีพฤติกรรมที่ มี High Relationship Technology แต่ Low Relationship persons ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวอาจส่งผลให้คนไทยที่เคยอยู่ในสังคมแบบมีความเอื้ออาทรซึ่งกันและกันเริ่มจะจางหายไปจากสังคมลงไปเรื่อยๆ
ในโอกาสที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่การเป็นสมาชิกประชาคมอาเซียน (ASEAN) ในปี 2558 ในฐานะห้องสมุดเป็นองค์กรหนึ่งที่มีบทบาทและมีความสำคัญในการส่งเสริมและให้บริการการเรียนรู้ สนับสนุนประชาชนทางด้านการศึกษา ช่วยพัฒนาประชาชนให้เข้าถึงข้อมูลสารสนเทศและเกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยจะต้องมีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนห้องสมุดให้ทันกับยุคสมัย ก้าวทันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา รวมถึง การพัฒนาบุคลากรห้องสมุดเพื่อเตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ซึ่งคนเป็นปัจจัยสำคัญในการเป็นผู้ปฏิบัติงาน ด้านการส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนรู้ของ ประชากร การให้บริการวิชาการแก่มหาวิทยาลัย และองค์กรอื่น ๆ เพื่อให้สามารถที่จะแสวงหาความรู้ และข้อมูลสารสนเทศ ในการสร้างองค์ความรู้และผลิตบุคลากร ที่มีคุณภาพ ตามคุณลักษณะที่พึงประสงค์เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เป้าหมาย
ดังนั้นห้องสมุดควรเห็นความสำคัญของการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านให้บุคลากร มีใจรักการอ่าน เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์สังคมการเรียนรู้ในองค์กร ผ่านกระบวนการส่งเสริมให้เกิดการรักการอ่าน การแสวงหาความรู้ และการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งของการยกระดับกระบวนการคิดในการพัฒนาตนเอง ซึ่งผู้ที่ปฏิบัติงานในห้องสมุดจำเป็นต้องเป็นผู้ใฝ่เรียนรู้อยู่เสมอ ซึ่งรากฐานของการอ่าน อันนำไปสู่ความสามารถในการคิด วิเคราะห์ สร้างสรรค์ เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกได้อย่างยั่งยืน
ซึ่งกิจกรรมส่งเสริมการอ่านก็เป็นโครงการหนึ่งที่อาเซียนให้ความสำคัญ ด้วยการพยายามร่วมมือกันมาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1967 ซึ่งถือว่าเป็นแนวทางที่น่าสนใจ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้ และการสร้างความเข้าใจความเป็นประชาคมอาเซียน ด้วยการนำเทคโนโลยีสื่อสารมาปรับใช้ในกิจกรรมการอ่าน เช่น ประเทศสิงคโปร์ส่งเสริมการอ่านของพลเมืองในประเทศโดยให้สามารถดาวน์โหลดเรื่องสั้นอ่านบนมือถือได้ ซึ่งสะดวกและรวดเร็ว โดยจะเน้นจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านเพื่อให้พลเมือง ในทุกกลุ่มอาชีพ ไม่ว่าจะเป็น คนขับแท็กซี่ ช่างผม ครู มาตั้งกลุ่มการอ่าน หรือชมรมการอ่าน ในหมู่ที่ทำอาชีพเดียวกัน และเน้นการว่างแผนพัฒนาระบบห้องสมุดให้เป็นห้องสมุด ดิจิตอลหรือประเทศสมาชิกอื่น ๆ ก็ให้ความสำคัญกับกิจกรรมหรือโครงการส่งเสริมการอ่าน เช่น มาเลเซีย เวียดนาม ลาว
จากข้อมูลเบื้องต้นทำให้เห็นว่าห้องสมุด เกือบทุกประเทศในประเทศสมาชิกาประชาคมอาเซียนให้ความสำคัญกับการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน โดยมีความเชื่อมั่นว่าการอ่านจะทำให้คนมีคุณภาพ มีความเท่าเทียมกัน ช่วยยกระดับชีวิตของคนอ่าน รวมไปถึงการพัฒนาเศรษฐกิจสังคม และสร้างชาติบ้านเมืองให้พัฒนาอย่างยั่งยืนได้ ดังนั้นห้องสมุดเป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยพัฒนาประชาชนคนไทยให้มีนิสัยรักการอ่าน โดยจะต้องเริ่มที่การปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้กับบุคลากรผู้ปฏิบัติงานในห้องสมุดก่อน ด้วยการกำหนดยุทธ์ศาสตร์ นโยบายของห้องสมุดโดยมีการกำหนดเป้าหมาย เช่น การส่งเสริมพฤติกรรมการอ่าน ส่งเสริมความสนใจเฉพาะด้าน ความเท่าทันเรื่องข้อมูลข่าวสาร การ ปลูกจิตสำนึกและชี้ให้เห็นความสำคัญของการอ่าน และยกระดับไปสู่การสร้างวัฒนธรรมการอ่าน ของคนในองค์กร และขยายไปถึงชุมชนต่าง ๆ หรือ การพัฒนาห้องสมุดให้เป็นห้องสมุดดิจิตอล ที่ประชาชน เข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา เป็นการอำนวยความสะดวกให้คนเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น
ซึ่งกิจกรรมส่งเสริมการอ่านเพื่อเตรียมพร้อมรับความเป็นประชาคมอาเซียนในความคิดเห็นของผู้เขียน เช่น
1.ด้านข้อมูลพื้นฐานประเทศอาเซียน เช่น การศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณี ศิลปะ ระบบการศึกษา เทคโนโลยี ของประเทศสมาชิกอาเซียน โดยจัดโครงการส่งเสริมการอ่าน ด้วยการให้แต่ละคนศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับอาเซียนในประเด็นดังกล่าว แล้วนำมาแลกเปลี่ยนให้เพื่อนร่วมงานฟังโดยอาศัยเวทีการประชุมประจำสัปดาห์ วันละ 15 นาที ซึ่งเป็นการฝึกให้บุคลากรห้องสมุดได้กล้าแสดงออก มีทักษะการนำเสนอ แสดงความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ซึ่งอาจทำเป็นทีม (2-3 คน)เพื่อจะได้ความคิดที่หลากหลาย เพื่อส่งเสริมการทำงานเป็นทีม
2.ด้านภาษาและการสื่อสาร ควรศึกษาเรื่อง ภาษาถิ่น คำทักทายของแต่ละประเทศ แล้วนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนร่วมงาน
3.สำหรับการอ่านภาษาอังกฤษ ขั้นแรกทุกคนควรจะฝึกตนเองด้วยการหัดอ่านภาษาอังกฤษ จากหนังสือพิมพ์ หรือ หนังสือที่เราสนใจ ที่มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษประกอบ ซึ่งเทคนิคการอ่านภาษาอังกฤษให้เข้าใจได้เร็วขึ้นนั้น เราควรมีความรู้เรื่องนั้น ๆ ทีเป็นภาษาไทยก่อนแล้วเราจึงจะสามารถสรุปความหรือทำความเข้าใจได้เร็ว ซึ่งการอ่านภาษาอังกฤษไม่จำเป็นต้องแปลทุกตัวอักษร ฝึกอ่านทุกๆ วัน ๆ ละประโยค 2 ประโยค แล้วจะได้ไปเองค่ะ
4.การสื่อสารภาษาอังกฤษ ปัจจุบันมีหนังสือมากมายที่เขียนประโยคภาษาอังกฤษสำหรับการสื่อสาร เราควรอ่านอย่างสม่ำเสมอ แล้วจะเกิดการเรียนรู้ไปเอง(เทคนิคที่ผู้เขียนปฏิบัติ)
ห้องสมุดเป็นองค์กรสำคัญในการเป็นองค์กรที่เปิดประตูสู่โลกแห่งการสร้างประสบการณ์ด้านการอ่าน ของคนไทย ซึ่งรากฐานของการอ่าน อันนำไปสู่ความสามารถในการคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ สร้างสรรค์ เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกได้อย่างยั่งยืน ด้วยการกำหนดเป็นยุทธ์ศาสตร์หรือนโยบายในการส่งเสริมการอ่านทั้งบุคลากรห้องสมุดและขยายไปสู่สังคมภายนอกเพื่อตอบสนองความต้องการสำหรับผู้อ่านกลุ่มต่าง ๆ ได้มากขึ้น
To gain more and more knowledge is a crucial matter of life.  หมั่นแสวงหาวิชาใส่ตัวเป็นเรื่องสำคัญสำหรับชีวิต

ขอขอบคุณขอความดีๆ จาก คุณ Rossarin มหาวิทยาลัยศิลปากร